ดอกสะเดา สุดยอดสมุนไพรไทย เพื่อสุขภาพ

ดอกสะเดา

ดอกสะเดา หนึ่งในสมุนไพรไทย ที่มีความพิเศษไม่เพียงแค่รสชาติขม ที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ และสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยบำรุงสุขภาพ เสริมภูมิคุ้มกัน บรรเทาอาการเลือดกำเดาไหล รักษาโรคผิวหนัง หรือช่วยล้างพิษในเลือด

นอกจากนี้ ดอกสะเดา ยังมีโปรตีน เส้นใยอาหาร แร่ธาตุ  และวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย สำหรับใครที่สนใจปลูกสะเดาเพื่อเก็บดอกมาทำอาหารเอง บทความนี้ ยังมีคำแนะนำในการปลูก และดูแลต้นสะเดา ให้คุณได้เริ่มต้นอย่างถูกวิธีอีกด้วย

แนะนำข้อมูล ต้นสะเดา

ชื่อ: สะเดา
ชื่อภาษาอังกฤษ: Neem, Margosa, Neem tree, Indian margosa
ชื่อวิทยาศาสตร์: Azadirachta indica A. Juss.
ชื่ออื่นๆ: สะเดาบ้าน (ภาคกลาง), สะเลียม (ภาคเหนือ), ต้นกะเดา (ภาคอีสาน), เดา, กระเดา (ภาคใต้), ตะหม่าเหมาะ (กะเหรี่ยง), ผักสะเลม (ไทยลื้อ)
วงศ์: MELIACEAE
ถิ่นกำเนิด: พม่าและอินเดีย แล้วแพร่พันธุ์ในป่าแล้งของปากีสถาน ศรีลังกา มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ สะเดา

ดอกสะเดา
  • ประเภท: สะเดาเป็นไม้ขนาดกลางถึงใหญ่ สูง 20 – 25 เมตร ทนร้อนและแห้งแล้ง เจริญเติบโตได้ดีในดินแห้งและดินหิน
  • เรือนยอด: เรือนยอดของสะเดามีลักษณะ เป็นพุ่มหนาทึบตลอดปี ให้ร่มเงาดี ทำให้เหมาะสำหรับการปลูกเป็นไม้ประดับ ตามแนวรั้ว หรือตามพื้นที่สวนที่ต้องการความร่มรื่น ช่วยบรรเทาความร้อน จากแสงแดดได้
  • ระบบราก: รากสะเดาแข็งแรงและลึก ช่วยให้ทนลมและดูดซับน้ำจากดินลึก ทำให้เติบโตได้ดีในพื้นที่แล้ง
  • เปลือกไม้: เปลือกสะเดาหนา สีน้ำตาลเทาแตกเป็นร่องยาว ทนทานต่อสภาพแวดล้อม และศัตรูพืช
  • เนื้อไม้: เนื้อไม้สะเดามีสีแดงเข้มปนน้ำตาล เสี้ยนไม้เป็นริ้วแคบ เนื้อหยาบเป็นมัน เลื่อม มีความแข็ง และทนทาน เหมาะสำหรับการใช้งาน ในงานก่อสร้าง หรือทำเฟอร์นิเจอร์ เนื้อไม้ทนทานต่อการผุกร่อน สามารถขัดเงาได้ดี และให้สีสวยงาม
  • ใบ: ใบสะเดาสีเขียวเข้ม ออกเป็นช่อแบบขนนก ยาว 15 – 40 cm. มีใบย่อย 4 – 7 คู่ ขอบหยักเล็กน้อย ใบหนาทนร้อน ช่วงแล้งจะทิ้งใบล่างและผลิใบใหม่ในเดือนมีนาคม-เมษายน
  • ดอก: ดอกสะเดา จะออกเป็นช่อแยกแขนงตามง่ามใบ หรือตามปลายกิ่ง มีความยาวของช่อได้ถึง 30cm. ดอกมีขนาดเล็ก สีขาวหรือสีเทา มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ช่วยดึงดูดแมลงผสมเกสร ดอกสะเดามีประโยชน์ในทางยา ช่วยแก้พิษเลือด และบรรเทาอาการเลือดกำเดาไหล
  • ผล: ผลสะเดาคล้ายองุ่น ยาว 1 – 2 cm. กว้าง 1 cm. สุกแล้วสีเหลืองอมเขียว รสหวานเล็กน้อย ใช้รับประทาน หรือเป็นยาระบายอ่อ นและบำรุงหัวใจ
  • เมล็ด: เมล็ดสะเดามีผิวเรียบ หรือลายเป็นร่องเล็กๆ ตามยาว มีสีเหลืองซีดหรือน้ำตาล เมล็ดสะเดามีคุณสมบัติพิเศษในการสกัดน้ำมัน ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ Neem oil ใช้ในอุตสาหกรรมยาฆ่าแมลง และเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

 

ที่มา: สะเดา ประโยชน์ดีๆ [1]

ประโยชน์ของ ดอกสะเดา ในด้านสุขภาพที่คุณอาจไม่เคยรู้

  • บรรเทาเลือดกำเดาไหล: ดอกสะเดาช่วยหยุดเลือด และบรรเทาอาการเลือดกำเดาไหล โดยนิยมต้มดอกสะเดาดื่ม อีกทั้งยังช่วยลดความดันเลือด
  • ช่วยรักษาโรคผิวหนัง: ดอกสะเดามีสารยับยั้งเชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัส ช่วยรักษาผื่นคัน กลากเกลื้อน และแผลพุพอง สาร Gedunin และ Nimbolide ในดอกสะเดาช่วยลดการอักเสบ และการระคายเคือง อีกทั้งยังนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • การล้างพิษในเลือด: ดอกสะเดาช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และขจัดสารพิษ ทำให้เลือดสะอาดขึ้น ลดความเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ในแผนโบราณ นิยมต้มดอกสะเดาจิบน้ำประจำ
  • บำรุงธาตุและเสริมภูมิคุ้มกัน: ดอกสะเดาช่วยบำรุงธาตุ และเสริมภูมิคุ้มกันเช่นเดียวกับ ดอกพิทูเนีย ทำให้ร่างกายต่อสู้เชื้อโรคได้ดีขึ้น ช่วยสร้างสมดุล และป้องกันการติดเชื้อ
  • บรรเทาร้อนในและปวดศีรษะ: ดอกสะเดาช่วยลดความร้อนในร่างกาย แก้ร้อนใน และบรรเทาปวดศีรษะ ทำให้รู้สึกสดชื่น และผ่อนคลาย

ที่มา: “สะเดา” หวานเป็นลมขมเป็นยา [2]

คุณค่าทางโภชนาการของ ดอกสะเดา

  • โปรตีน: ดอกสะเดา มีปริมาณโปรตีนสูง โดยให้โปรตีนถึง 5.4 กรัมต่อ 100 กรัม ซึ่งโปรตีนเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อ เสริมสร้างกล้ามเนื้อ และช่วยในการทำงาน ของระบบภูมิคุ้มกัน โปรตีนจากดอกสะเดาเป็นโปรตีนจากพืช ที่ย่อยง่าย ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ ต้องการเสริมโปรตีนจากพืช
  • เส้นใยอาหาร: ดอกสะเดามีเส้นใยอาหารสูงถึง 2.2 g.ต่อ 100 g. เส้นใยอาหารมีบทบาทสำคัญ ในการช่วยย่อยอาหาร ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดระดับคอเลสเตอรอล และส่งเสริมระบบขับถ่ายที่ดี การรับประทานดอกสะเดาที่มีเส้นใยอาหารสูงจึงช่วยลดความเสี่ยงของโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคท้องผูก และโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
  • แร่ธาตุ: ดอกสะเดาอุดมไปด้วยแคลเซียม (354 ml.) และธาตุเหล็ก (4.6 ml.) ซึ่งแคลเซียมมีความสำคัญในการเสริมสร้างกระดูก และฟันให้แข็งแรง และช่วยในการทำงานของระบบประสาท ส่วนธาตุเหล็กช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคโลหิตจาง โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยง ที่จะขาดธาตุเหล็ก เช่น ผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์
  • วิตามิน: ดอกสะเดามีวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินซี (194 ml.) และเบต้าแคโรทีน (3,611 ไมโครกรัม) ซึ่งวิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันการเกิดโรคหวัด และช่วยบำรุงผิวพรรณให้กระจ่างใส ในขณะที่เบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้น ของวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา และป้องกันการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม

เคล็ดลับการลดความขมของ ดอกสะเดา 

วิธีลวกหรือต้ม ดอกสะเดา เพื่อลดความขม

  • เลือกดอกสะเดาสดใหม่: ดอกสดมีความขมน้อยกว่าดอกแก่ เลือกดอกสีเขียวอ่อนที่กลีบปิดสนิท
  • แช่น้ำเกลือ: แช่ดอกสะเดาในน้ำเกลืออ่อน 10-15 นาที เพื่อลดความขม จากนั้นล้างน้ำเปล่า
  • ลวกในน้ำเดือด: ลวกดอกสะเดาในน้ำเดือด 1-2 นาที จากนั้นแช่ในน้ำเย็นเพื่อคงสีเขียวสด
  • ต้มในน้ำซาวข้าว: ต้มดอกสะเดาในน้ำซาวข้าว 1-2 นาที แล้วล้างด้วยน้ำเปล่า น้ำซาวข้าว ช่วยลดความขม และทำให้นุ่มขึ้น
  • ต้มกับใบมะกรูด: ใส่ใบมะกรูดลงในน้ำต้มพร้อมดอกสะเดา ต้ม 1 – 2 นาที เพื่อลดความขม และเพิ่มความหอม
  • ต้มกับน้ำซุปหรือน้ำปลา: ต้มดอกสะเดาในน้ำซุปหรือน้ำปลาเล็กน้อย  เพื่อกลบรสขม และเพิ่มรสชาติ

เคล็ดลับการทาน ดอกสะเดา คู่กับอาหารอื่น ๆ เพื่อเพิ่มรสชาติ

  • สะเดาน้ำปลาหวาน: เมนูนี้เป็นที่นิยมมาก โดยทานดอกสะเดาลวกคู่กับน้ำปลาหวาน และปลาดุกย่าง ความหวานของน้ำปลาหวาน และปลาดุกย่างจะช่วยตัดรสขมของดอกสะเดา ทำให้รสชาติอร่อยกลมกล่อม และเข้ากันได้ดี
  • สะเดาจิ้มน้ำพริก: สามารถนำดอกสะเดามาลวกแล้วทานคู่กับน้ำพริกรสชาติเข้มข้น น้ำพริกที่มีรสเผ็ดเค็มหวาน จะช่วยทำให้รสชาติของดอกสะเดากลมกล่อมขึ้น เป็นเมนูที่เหมาะสำหรับทานเล่น หรือตามวิถีพื้นบ้าน
  • แกงสะเดาปลาย่าง: ดอกสะเดาเมื่อใส่ลงในแกง จะมีรสชาติที่เข้มข้นมากขึ้น แกงสะเดาปลาย่าง จะช่วยลดความขมได้โดยน้ำแกง และเครื่องแกงจะเพิ่มรสชาติให้อร่อย และทานง่ายขึ้น

การปลูก และการดูแลต้นสะเดา สำหรับทำอาหาร

  • การเลือกเมล็ดหรือหน่อ: ใช้เมล็ดสดใหม่เพื่อ เพิ่มโอกาสการงอก หากใช้หน่อ เลือกหน่อจากรากต้นสะเดาที่แข็งแรง
  • การเตรียมดิน: สะเดาชอบดินร่วนซุย ระบายน้ำดี ควรเตรียมหลุม 30x30x30 cm. และใส่ปุ๋ยคอกเพื่อบำรุงดิน
  • ตำแหน่งที่ปลูก: ควรปลูกในที่มีแสงแดดเต็มที่ ห่างจากต้นไม้อื่น 2 – 4 เมตร
  • ปลูกจากเมล็ด: หว่านเมล็ดห่างกัน 5 cm. เมื่องอกและสูง 10 – 15 cm. ให้ย้ายปลูกในแปลง หรือหลุมที่เตรียมไว้
  • ปลูกจากหน่อสะเดา: ขุดหน่อสะเดาปลูกในหลุม รดน้ำให้ชุ่ม และใส่ปุ๋ยคอกเล็กน้อย รดน้ำเบา ๆ ในช่วงแรก
    การดูแลต้นสะเดา เพื่อให้ได้ดอกที่สดและปลอดภัย
  • การรดน้ำ: รดน้ำทุกวันในช่วงแรก หลังจากต้นโตเต็มที่ให้รด 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือตามสภาพดิน ระวังไม่ให้รากเน่า
  • การให้ปุ๋ย: ใส่ปุ๋ยคอก หรืออินทรีย์ทุก 3 – 4 เดือนเพื่อบำรุง และใช้ปุ๋ยฟอสฟอรัสเล็กน้อย หากต้องการเร่งดอก
  • การตัดแต่งกิ่ง: ตัดกิ่งแห้ง หรือเสียออกเป็นประจำ เพื่อให้พุ่มโปร่ง ลดความเสี่ยงจากโรค และแมลง
  • การป้องกันแมลง: หากพบแมลงรบกวน ใช้สารสะเดา หรือน้ำหมักสมุนไพรเพื่อกำจัด แทนการใช้สารเคมี
  • การสังเกตการออกดอก: สะเดาออกดอกช่วงปลายฝน-ฤดูหนาว ควรเก็บดอกที่บานเต็มที่ เพื่อนำไปใช้ทันที

 

ที่มา: ขั้นตอนการปลูกและการดูแลรักษาสะเดา [3]

สรุป ดอกสะเดา มีประโยชน์ในด้านสุขภาพ และการทำอาหาร

สรุป ดอกสะเดา เป็นสมุนไพรไทย ที่อุดมไปด้วยสรรพคุณทางยาหลากหลาย ทั้งการบำรุงสุขภาพ ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง  พร้อมทั้งยังมีเคล็ดลับ การลดความขม สำหรับผู้ที่สนใจปลูกต้นสะเดาเอง อย่าลืมทำตามคำแนะนำการปลูก และการดูแลให้ได้ดอกที่สดใหม่ และปลอดภัย เพื่อพร้อมสำหรับการทำอาหารที่มีคุณภาพ

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง