ดอกดาหลา ดอกไม้กินได้ที่มีทั้งประโยชน์ และความอร่อย

ดอกดาหลา

ดอกดาหลา หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กาหลา” หรือ “กาลา” เป็นดอกไม้ที่ทั้งสวยงามและมีคุณค่าทางโภชนาการอย่างน่าทึ่ง โดยดอกดาหลาเป็นพืชในวงศ์ขิง (Zingiberales) ที่มีบทบาทโดดเด่นในด้านความงดงาม โดยเฉพาะการเป็นไม้ประดับยอดนิยมทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ปัจจุบัน ดอกดาหลาไม่ได้เป็นเพียงไม้ประดับที่มีความงามโดดเด่นเท่านั้น เพราะดอกไม้ชนิดนี้ยังสามารถใช้ในการประกอบอาหาร และมีสรรพคุณทางสมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพมากมาย

แนะนำข้อมูล ต้นดาหลา

ชื่อ: ดาหลา

ชื่อภาษาอังกฤษ: Torch Ginger หรือ Wax Flower

ชื่อวิทยาศาสตร์: Etlingera elatior (Jack) R.M. Smith

ชื่ออื่นๆ: กาหลา, กะลา, กาลา, จินตะหลา, ข่าน้ำ, หน่อกะลา (ทั่วไป), ปุด, ปุดกะลา (ภาคใต้)

วงศ์: Zingiberales

ถิ่นกำเนิด: ป่าร้อนชื้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย พม่า อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และบางตำราอาจกล่าวถึงหมู่เกาะในมหาสมุทรอินเดีย

 

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ต้นดาหลา

ดาหลา เป็นพืชล้มลุกขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง มีอายุยืนยาว เป็นไม้ล้มลุกที่มีเหง้าใต้ดิน ลำต้นใต้ดินนี้มีลักษณะเป็นเหง้า (rhizome) ซึ่งทำหน้าที่สะสมอาหารและเป็นจุดกำเนิดของหน่อและดอกใหม่

  • ลำต้น: ลำต้นเหนือดินเรียกว่า “ลำต้นเทียม” เป็นกาบใบที่โอบรอบกันแน่นจนมีลักษณะเป็นแท่งทรงกระบอกสีเขียวเข้ม ลักษณะนี้คล้ายกับลำต้นของข่า ความสูงของลำต้นเทียมที่เหนือพื้นดินสามารถสูงได้ประมาณ 2-5 เมตร ทำให้ต้นดาหลาเป็นไม้ล้มลุกที่มีขนาดใหญ่และสง่างาม
  • ใบ: ใบของดาหลาเป็นใบเดี่ยว ลักษณะของใบคล้ายใบข่า มีรูปทรงเรียวยาว ขอบขนาน ปลายแหลม และโคนใบสอบแคบเข้าหาก้านใบ ใบกว้างประมาณ 15 – 20 cm. ยาว 30 – 40 cm. ผิวใบเกลี้ยงมัน และมีสีเขียวเข้มเป็นเงา ใบนี้จะเติบโตเรียงสลับกันตามลำต้นเทียม ทำให้ต้นดาหลา มีความเขียวชอุ่ม
  • ดอก: ดอกดาหลาออกเป็นดอกเดี่ยว  และแทงขึ้นมาจากเหง้าใต้ดิน ก้านช่อดอกมีลักษณะ เป็นปล้องยาว และมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 – 2 cm. ความยาวของก้านช่อดอกประมาณ 50 – 150 cm. ช่อดอกประกอบด้วยกลีบดอกหนา เรียบ และเป็นมันวาวคล้ายพลาสติก สีของดอกมีหลายเฉดตามสายพันธุ์ เช่น สีแดง สีชมพู และสีขาว
  • กลีบดอก: กลีบดอกด้านนอกมีขนาดใหญ่กว่า กลีบดอกด้านใน และจะเรียงลำดับกัน โดยมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ไปถึงศูนย์กลางของดอก ตรงกลางดอกจะมีเกสรสีเข้ม โดดเด่นด้วยขอบสีขาว หรือเหลือง ซึ่งทำให้ดอกดาหลา มีรูปลักษณ์ที่สวยงาม และน่าสนใจ
  • ขนาดดอก: เมื่อดอกดาหลาบานเต็มที่จะมีขนาดใหญ่ มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10 – 16 cm. ซึ่งถือว่าใหญ่และโดดเด่นมาก ทำให้ดอกดาหลาเป็นที่นิยมในการใช้ประดับ และตกแต่ง
  • ผล: ผลของดาหลามีลักษณะเป็นรูปกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 – 2.5 cm. ผิวผลมีขนนุ่ม ภายในผลมีเมล็ดสีดำจำนวนมาก

ประวัติดอกดาหลา  จากไม้ประดับ สู่ดอกไม้กินได้

  • ดอกดาหลาในประวัติศาสตร์ไทย และเอเชีย

ถิ่นกำเนิดของดาหลาอยู่ในป่าร้อนชื้นของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงประเทศไทย พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ นอกจากนั้น ในภูมิภาคอื่น ๆ ดอกดาหลาก็ได้รับการกล่าวถึง และยกย่องในด้านความงาม และการนำไปใช้เป็นอาหาร 

  • การใช้ดอกดาหลาในอาหารไทย

ในประเทศไทย ดอกดาหลาถูกนำมาใช้ในอาหารหลายชนิด โดยเฉพาะในภาคใต้ซึ่งนิยมใช้ดอกดาหลาเป็นส่วนผสมในเมนูต่าง ๆ เช่น ข้าวยำ ยำดอกดาหลา และแกงกะทิดอกดาหลา ความเผ็ดเล็กน้อยของดอกดาหลาช่วยเพิ่มรสชาติให้กับเมนูอาหารเหล่านี้ได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ยังสามารถใช้ดอกดาหลาสด ๆ จิ้มกับน้ำพริก หรือชุบแป้งทอดได้อีกด้วย

  • ดอกดาหลาในอาหารเอเชีย

ในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ดอกดาหลาเป็นที่รู้จักในชื่ออื่น ๆ เช่น “Bunga Kantan” ซึ่งเป็นส่วนผสมสำคัญในเมนูท้องถิ่นหลายชนิด เช่น ลักซา (Laksa) ที่มีรสชาติเผ็ดร้อน นอกจากนั้น ยังใช้ดอกดาหลาในการตกแต่งจานอาหารเพื่อเพิ่มความงามและรสชาติให้กับอาหารบางเมนู 

ที่มา: A scientific overview of the genus Etlingera Giseke [1]

ประโยชน์ของดอกดาหลา  ไม่ได้มีดีแค่รสชาติ

ดอกดาหลา ประกอบไปด้วยสารอาหารหลากหลาย ที่เป็นประโยชน์ ต่อร่างกาย ซึ่งได้แก่

  • วิตามินและแร่ธาตุ: ดอกดาหลามีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ รวมถึงช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูสดใส นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุ เช่น แคลเซียมและเหล็ก ซึ่งช่วยบำรุงกระดูกและฟัน รวมถึงช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางอีกด้วย
  • ไฟเบอร์: ดอกดาหลาเป็นแหล่งไฟเบอร์ที่ดี ช่วยในการย่อยอาหาร เช่นเดียวกันกับ ดอกคาโมมายล์  ป้องกันอาการท้องผูก และส่งเสริมการทำงานของระบบลำไส้ให้ทำงานได้ดีขึ้น
  • สารต้านอนุมูลอิสระ: ดอกดาหลามีสารฟลาโวนอยด์ เช่น เควอเซติน ไอโซเควอเซติน และคาเทชิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบและป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกาย
  • สารฟีนอลิกและกรดไขมันที่เป็นประโยชน์: เช่น กรดแทนนิก กรดแกลลิก กรดคาเฟอิก และกรดคลอโรจีนิก สารเหล่านี้มีคุณสมบัติช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งและปกป้องหัวใจ

ที่มา: ดาหลา ความงามที่กินได้ [2]

เคล็ดลับการรับประทาน ดอกดาหลา อย่างปลอดภัย 

การรับประทานดอกดาหลาอย่างปลอดภัยนั้นมีปัจจัยหลายอย่างที่ควรพิจารณา ทั้งในด้านการเลือกดอกสด วิธีการเตรียม และคำเตือนสำหรับผู้ที่อาจมีอาการแพ้ 

วิธีการเลือกดอกดาหลาสด

  • เลือกดอกที่สดและมีสีสดใส:ดอกดาหลาที่สดจะมีสีที่สดใสและกลีบดอกแน่น ไม่เหี่ยวหรือร่วงง่าย การเลือกดอกที่มีสีสันสดใสจะช่วยเพิ่มรสชาติและความหอมในอาหาร อีกทั้งยังช่วยให้ได้สารอาหารจากดอกดาหลาอย่างเต็มที่
  • ตรวจสอบกลีบดอก และก้านดอก: ควรเลือกดอกที่มีกลีบหนา เรียบเนียน และเป็นมันวาว เพราะกลีบที่หนาและมันวาวนี้บ่งบอกถึงความสดของดอก การมีกลิ่นหอมอ่อนๆ และก้านที่ไม่มีกลิ่นฉุนหรือเสียเป็นสัญญาณที่ดีว่าดอกดาหลานั้นเหมาะสำหรับการนำมารับประทาน
  • แหล่งที่มาของดอกดาหลา: หากเป็นไปได้ ควรเลือกซื้อดอกดาหลาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ หรือแหล่งผลิตที่มีการรับรองคุณภาพ เช่น ฟาร์มออร์แกนิกหรือแหล่งปลูกที่มีมาตรฐาน เพื่อลดความเสี่ยงจากสารเคมีและสิ่งเจือปนที่อาจมากับดอกไม้

คำเตือนสำหรับผู้แพ้

  • ผู้ที่แพ้พืชวงศ์ขิง (Zingiberaceae): เนื่องจากดอกดาหลาเป็นพืชในวงศ์เดียวกันกับขิง ข่า และไพล ผู้ที่มีประวัติการแพ้พืชวงศ์นี้อาจมีความเสี่ยงต่อการแพ้ดอกดาหลาด้วย ควรเริ่มรับประทานในปริมาณน้อย ๆ ก่อนเพื่อทดสอบอาการแพ้ หากเกิดอาการคัน ผื่นขึ้น หรือรู้สึกไม่สบาย ควรหยุดรับประทานทันทีและปรึกษาแพทย์
  • การระมัดระวังสำหรับเด็ก และสตรีมีครรภ์: ดอกดาหลาถือว่าปลอดภัยในการรับประทานในรูปแบบของอาหาร แต่สำหรับสตรีมีครรภ์หรือผู้ที่มีภาวะสุขภาพพิเศษ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ดอกดาหลาเป็นสมุนไพร เพราะอาจมีสารบางชนิดที่ไม่เหมาะสม

การปลูกและดูแลต้นดาหลา

วิธีการปลูกดาหลา

  • การเตรียมต้นพันธุ์ดาหลา: ดาหลาสามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธี เช่น การแยกหน่อ การแยกเหง้า หรือการใช้เมล็ด แต่วิธีที่นิยมที่สุดคือการแยกหน่อ ควรเลือกหน่อที่มีความสูงประมาณ 60 – 100 cm. ตัดให้มีเหง้าและรากติดมาด้วย พร้อมหน่อดอกอ่อน ๆ ประมาณ 3 หน่อ เพื่อนำไปปลูกต่อไป
  • การเตรียมดินปลูก: ดาหลาชอบดินที่มีความชุ่มชื้นและระบายน้ำได้ดี ดินควรมีความเป็นกรดเล็กน้อย และมีสารอาหารที่เพียงพอ ควรไถพรวนดินให้ลึกประมาณ 20-30 เซนติเมตร ตากดินไว้ประมาณ 5-7 วัน เพื่อทำลายเชื้อโรคและศัตรูพืช จากนั้นใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่รองก้นหลุมปลูก และกลบดินให้พอประมาณ
  • การปลูกต้นดาหลา: ขุดหลุมปลูกให้ลึกประมาณ 10 – 15 cm.นำหน่อดาหลาที่เตรียมไว้มาวางในหลุมปลูก จากนั้นกลบดินให้สูงพอเหมาะ (ประมาณ 6 นิ้ว) รดน้ำให้ชุ่ม

 

การดูแลดาหลา

  • การให้น้ำ: ในระยะเริ่มปลูกควรรดน้ำทุกวันให้ดินชุ่มชื้น เพราะดาหลาชอบความชุ่มชื้นสูง เมื่อต้นตั้งตัวได้ดีแล้วสามารถลดความถี่ในการให้น้ำเป็นประมาณ 2-3 วันต่อครั้ง
  • การให้ปุ๋ย: ดาหลาต้องการปุ๋ยเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโต โดยควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์ทุก 2-3 เดือน
  • การตัดแต่งต้น: ควรตัดใบและก้านดอกที่แห้งหรือเหี่ยวเสียหายออกเพื่อช่วยให้ต้นดูโปร่งขึ้นและไม่เกิดการสะสมของเชื้อโรค
  • การควบคุมศัตรูพืช: ดาหลามักเจอกับศัตรูพืชบางชนิด เช่น เพลี้ยแป้ง หนอน และเชื้อรา ควรสังเกตต้นดาหลาเป็นประจำและพ่นยาฆ่าเชื้อหรือน้ำหมักสมุนไพรที่ปลอดภัย

 

ที่มา: การปลูกดาหลา [3]

สรุป คุณค่า และประโยชน์ของ ดอกดาหลา ดอกไม้กินได้

ดอกดาหลา

สรุป ดอกดาหลา เป็นมากกว่าดอกไม้ที่สวยงามในสวน หรือไม้ประดับที่เพิ่มความงดงามให้กับบ้าน ด้วยประวัติอันยาวนานในวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดอกไม้ชนิดนี้ ยังถือเป็นแหล่งอาหาร และสมุนไพร ที่มีคุณค่า ทั้งในแง่ของสารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ และสรรพคุณทางยา 

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง