ดอกมะรุม สมุนไพรสารพัดประโยชน์ที่ทุกบ้านควรรู้จัก

ดอกมะรุม

ดอกมะรุม เป็นสมุนไพรที่รู้จักกัน ในวงกว้าง และได้รับความนิยม ในการใช้เพื่อบำรุงสุขภาพ และรักษาอาการต่างๆ มาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นส่วนของใบ ดอก ฝัก หรือเมล็ด ต่างก็มีประโยชน์ ในด้านอาหาร และยา ด้วยลักษณะที่โตเร็ว และทนทานต่อสภาพ อากาศแห้งแล้งได้ดี มะรุมจึงกลายเป็น พืชที่เหมาะสำหรับปลูกในเขตร้อน อีกทั้งยังสามารถเจริญเติบโตได้ในดินทุกชนิด จึงไม่แปลกใจที่ผู้คนจำนวนมาก เลือกปลูกมะรุม ไว้ในสวนที่บ้าน เพื่อใช้สอยในชีวิตประจำวัน 

แนะนำข้อมูล ต้นมะรุม

ชื่อ: ดอกมะรุม

ชื่อภาษาอังกฤษ: Moringa

ชื่อวิทยาศาสตร์: Moringa oleifera Lam.

ชื่ออื่นๆ: กาแนง บ่ามะรุม ผักอีฮุม ผักเนื้อไก่

ถิ่นกำเนิด: ประเทศในแถบเอเชีย เช่น อินเดีย ศรีลังกา และมีในเขตเอเชียไมเนอร์และแอฟริกา

วงศ์: MORINGACEAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ต้นมะรุม

  • ลำต้นมะรุมเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง มีความสูงโดยเฉลี่ยประมาณ 5 – 10 เมตร ลำต้นตั้งตรง เปลือกของต้นมีสีเทาและพื้นผิวค่อนข้างเรียบ เติบโตได้เร็ว ทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี เหมาะสำหรับปลูกในเขตร้อน และสามารถเจริญเติบโตได้ในดินทุกชนิด ทำให้เป็นพืชที่ปลูกง่ายและไม่ต้องการการดูแลรักษามาก
  • ใบ: ใบของมะรุม เป็นใบประกอบแบบขนนก แบ่งเป็นใบย่อย 3 ชั้น ความยาวโดยรวมของใบอยู่ที่ประมาณ 20 – 40 cm. ใบมีลักษณะ เรียงแบบสลับ ใบย่อยมีความยาว 1 – 3 cm. มีรูปทรงไข่ ปลายใบ และฐานใบมีลักษณะมน ผิวด้านล่างของใบมีสีอ่อนกว่า และมีขนเล็กน้อย
  • ดอก: ดอกของมะรุมเป็นดอกช่อ มีสีขาว มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกตามซอกใบ กลีบเลี้ยงมีทั้งหมด 5 กลีบ และกลีบดอกมี 5 กลีบเช่นกัน โดยแต่ละกลีบแยกจากกัน ดอกของมะรุมมีรสขม หวาน มันเล็กน้อย ออกดอกในช่วงฤดูหนาว แต่บางพันธุ์สามารถออกดอกได้ หลายครั้งในรอบปี
  • ผล (ฝัก): ผลของมะรุมมีลักษณะ เป็นฝักยาว มีความยาวประมาณ 20 – 50 cm. เปลือกของฝัก มีสีเขียว และมีส่วนคอด กับส่วนมนสลับกันตามแนวยาวของฝัก ฝักมะรุมมีรสหวานเล็กน้อย ฝักอ่อนสามารถนำมาประกอบอาหาร เช่น แกงส้ม หรือแกงลาวได้ โดยไม่ต้องปอกเปลือก
  • เมล็ด: เมล็ดของมะรุม มีรูปทรงสามเหลี่ยม มีปีกบางหุ้มรอบตัว เมล็ดจำนวน 3 ปีก ทำให้เมล็ดสามารถปลิวไปกับลมได้ เส้นผ่าศูนย์กลางของเมล็ดอยู่ที่ประมาณ 1cm. เมล็ดมะรุมนิยมนำไปสกัดเป็นน้ำมันสำหรับ ใช้ปรุงอาหาร หรือนำไปใช้ในอุตสาหกรรม
ที่มา: มะรุม [1]

ประโยชน์ของ ดอกมะรุม ในด้านอาหาร

· บมะรุม: แหล่งสารอาหารอันเข้มข้น เป็นส่วนที่นิยมนำมาปรุงอาหารหลากหลายเมนู เช่น การทำแกง ต้มจืด หรือนำไปลวกเป็นผักกินคู่กับน้ำพริก โดยใบมะรุมมีรสหวานมันและมีกลิ่นเฉพาะตัว ทำให้อาหารที่ปรุงจากใบมะรุมมีรสชาติที่แตกต่างไปจากผักอื่นๆ ใบมะรุมยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ได้แก่ วิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตาและเพิ่มภูมิคุ้มกัน แคลเซียมที่มีปริมาณสูงเทียบเท่านม ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ธาตุเหล็กที่มีประโยชน์ต่อการสร้างเม็ดเลือดแดงและป้องกันภาวะโลหิตจาง รวมถึงวิตามินซีในปริมาณมากที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

· ฝักมะรุม: อาหารพื้นบ้าน ที่ให้พลังงาน และวิตามินสูง ฝักมะรุมอ่อนเป็นวัตถุดิบที่คนไทย นิยมใช้ในการทำแกงส้ม ซึ่งเป็นเมนูยอดนิยมของคนไทย โดยฝักมะรุม มีรสหวานอ่อนๆ และเนื้อสัมผัสที่กรุบกรอบ สามารถใช้ในเมนูแกงลาวได้เช่นกัน ฝักมะรุมมีสรรพคุณทางโภชนาการ เช่น วิตามินเอและซีที่ช่วยบำรุงสายตา และเสริมภูมิคุ้มกัน แคลเซียม และฟอสฟอรัสที่ช่วยเสริมสร้างกระดูก และฟัน รวมถึงธาตุเหล็กที่ดีต่อระบบเลือด และป้องกันภาวะโลหิตจาง

· ดอกมะรุม: อาหารที่ช่วยบำรุงร่างกาย ดอกมะรุมมักถูกนำมาลวกหรือต้มสุกเพื่อนำไปรับประทานคู่กับน้ำพริกหรือใส่ในแกงเพื่อเพิ่มรสชาติ ดอกมะรุมมีรสขมเล็กน้อยและกลิ่นหอมเฉพาะตัว โดยมีสรรพคุณในการบำรุงร่างกายและช่วยให้ผ่อนคลาย นอนหลับได้ดี ทั้งยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะและช่วยขับพิษร้อนในร่างกาย

· เมล็ดมะรุม: แหล่งน้ำมันคุณภาพสูง เมล็ดมะรุมนำมาสกัดเป็นน้ำมันที่สามารถใช้ในการปรุงอาหารได้ โดยน้ำมันจากเมล็ดมะรุมมีคุณสมบัติทนความร้อนได้ดี เหมาะกับการประกอบอาหาร อีกทั้งยังมีกรดไขมันที่ช่วยบำรุงหัวใจ ลดไขมันในหลอดเลือด และเสริมภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ น้ำมันจากเมล็ดมะรุมยังสามารถใช้บำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น

ที่มา: มะรุม พืชที่ทุกคนอยากรู้ [2]

สรรพคุณทางยา และการรักษาด้วย ดอกมะรุม

  • ใบมะรุม: สมุนไพรลดความดัน ควบคุมเบาหวาน และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

ใบมะรุมอุดมด้วยสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความดันโลหิต ขยายหลอดเลือด และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน นอกจากนี้ ใบมะรุมยังเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อ และช่วยดูแลสุขภาพระยะยาวอย่างมีประสิทธิภาพ

  • ดอกมะรุม: ขับปัสสาวะ บรรเทาอาการไข้ และป้องกันการติดเชื้อ

ดอกมะรุมมีสรรพคุณทางยาสูง ช่วยขับปัสสาวะ กำจัดสารพิษ บรรเทาอาการไข้ และป้องกันการติดเชื้อ โดยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค ทำให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น

  • ฝักมะรุม: ลดไขมันในเลือด ป้องกันมะเร็ง และบำรุงกระดูก เช่นเดียวกันกับ ดอกโสน

ฝักมะรุมมีประโยชน์ทั้งในด้านอาหารและสุขภาพ ช่วยลดไขมันเลว (LDL) ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด มีสารต้านอนุมูลอิสระป้องกันมะเร็ง และอุดมด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ช่วยบำรุงกระดูก ลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน

  • เมล็ดและรากมะรุม: รักษาอาการปวดตามข้อ โรคเก๊าท์ และโรคไขข้อ บำรุงไฟธาตุ

เมล็ดและรากมะรุมช่วยบรรเทาอาการปวดข้อ ลดการอักเสบจากโรคไขข้อและเก๊าท์ โดยเมล็ดยับยั้งการสร้างกรดยูริก ส่วนรากช่วยบำรุงไฟธาตุ ช่วยย่อยอาหาร ขับลม และลดอาการท้องอืด

ข้อควรระวังในการใช้มะรุม และผลข้างเคียงที่ควรรู้

  • ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้มะรุม: มะรุมมีฤทธิ์ที่อาจส่งผลต่อระบบร่างกายหลากหลายระบบ โดยเฉพาะการใช้ในปริมาณที่มากเกินไป หรือการใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยทั่วไป ผลข้างเคียงของมะรุมที่อาจพบได้ ได้แก่ อาการคลื่นไส้ วิงเวียนศีรษะ และท้องเสีย สารบางชนิดในมะรุมอาจมีฤทธิ์กระตุ้น ที่ส่งผลต่อระบบย่อยอาหาร และการไหลเวียนของเลือด ซึ่งหากใช้เกินขนาดที่เหมาะสม อาจส่งผลให้ร่างกาย เกิดความไม่สมดุลได้
  • ข้อควรระวังในการใช้มะรุมสำหรับผู้ป่วยตับ: สำหรับผู้ที่มีปัญหาตับอ่อนแอ หรือเป็นโรคเกี่ยวกับตับ ควรระมัดระวัง ในการใช้มะรุม เนื่องจากการใช้สมุนไพรนี้ ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจส่งผลต่อ การทำงานของตับ เพราะมะรุมอาจทำให้เอนไซม์ตับสูงขึ้น ทำให้ตับทำงานหนักเกินไป การตรวจการทำงานของตับเป็นระยะ ๆ เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาหากมีการใช้มะรุมอย่างต่อเนื่อง และควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้
  • ข้อควรระวังสำหรับหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร: หญิงตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการใช้รากและเมล็ดมะรุม เนื่องจากอาจกระตุ้นมดลูก ควรใช้เฉพาะใบในปริมาณที่แพทย์แนะนำ ส่วนหญิงให้นมบุตรสามารถใช้ได้ในปริมาณที่เหมาะสมและไม่ควรใช้ต่อเนื่องนานเกินไป
  • การใช้มะรุมในปริมาณที่เหมาะสม: เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงและรักษาคุณค่าทางสมุนไพรของมะรุม ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสม โดยทั่วไปแล้ว ปริมาณการใช้ที่แนะนำสำหรับใบมะรุมอยู่ที่ประมาณ 1 – 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน (ในรูปแบบแห้งหรือผง) และไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากเกินไป การใช้ในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงและทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุดจากสมุนไพรนี้

 

ที่มา: มะรุม (Moringa) [3]

เหตุผลที่ควรปลูกมะรุมในสวนที่บ้าน สมุนไพรคู่ครัวที่อุดมไปด้วยประโยชน์

  • การปลูกที่ง่ายและทนทาน: พืชโตเร็ว ทนแล้ง และปลูกง่ายในทุกสภาพดิน

มะรุมเป็นพืชโตเร็ว ทนแล้ง และปลูกง่ายในทุกสภาพดิน ดูแลง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัด แค่ให้น้ำเล็กน้อยก็เพียงพอ ทำให้สวนเขียวชอุ่มและเสริมประโยชน์ได้ยาวนาน

  • ประโยชน์ในการใช้สอยทุกส่วนของต้น: ใบ ดอก ฝัก และเมล็ด

มะรุมใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน ตั้งแต่ใบ ดอก ฝัก และเมล็ด ใบมีสารอาหารสูง ช่วยบำรุงสุขภาพและนำมาปรุงอาหารได้หลากหลาย ดอกลวกหรือต้มเป็นผักเคียงได้ ฝักอ่อนทำแกงส้มเพิ่มรสชาติ ส่วนเมล็ดสกัดเป็นน้ำมันบำรุงผิวและลดไขมันในเลือด การปลูกมะรุมจึงเพิ่มแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้งานได้หลากหลาย

  • แหล่งอาหารเสริมที่อุดมไปด้วยสารอาหาร: ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพครอบครัว

มะรุมเป็นแหล่งอาหารเสริมธรรมชาติที่อุดมด้วยวิตามินเอ ซี และแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูก เสริมภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงจากโรคต่างๆ เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง เหมาะสำหรับดูแลสุขภาพครอบครัว

  • สมุนไพรประจำบ้าน: ลดการพึ่งพายาสังเคราะห์ และเพิ่มความสะดวกในการดูแลสุขภาพ

มะรุมเป็นสมุนไพรพื้นบ้าน ที่ช่วยบรรเทาอาการหลายอย่าง ลดการพึ่งพายาสังเคราะห์ ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ บรรเทาอาการปวดข้อ โรคเก๊าท์ และช่วยลดความดันโลหิต และน้ำตาลในเลือด จึงเหมาะสำหรับปลูกไว้เพื่อการบำบัดสุขภาพในชีวิตประจำวัน

สรุป ดอกมะรุม สมุนไพรปลูกง่าย ประโยชน์หลากหลายเพื่อสุขภาพ

ดอกมะรุม

สรุป ดอกมะรุม เป็นพืชสมุนไพร ที่ไม่เพียงแค่ปลูกง่าย และทนทาน แต่ยังเต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ และสรรพคุณทางยา ที่หลากหลาย ทุกส่วนของมะรุม ตั้งแต่ใบ ดอก ฝัก จนถึงเมล็ด ล้วนมีประโยชน์ต่อสุขภาพ และสามารถ นำมาปรุงอาหาร หรือใช้ในการรักษาอาการต่างๆ ได้อย่างปลอดภัย ด้วยความสามารถใน การช่วยลดความดันโลหิต ควบคุมระดับน้ำตาล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และบำรุงร่างกาย

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง